ในบรรดาเหตุผลมากมายที่ทำให้ The Crown ซีซั่นใหม่น่าดูยิ่ง และอาจเรียกได้ว่าเป็นซีซั่นที่ดีที่สุด สำหรับผู้เขียนแล้วมาจากการที่ซีซั่นนี้เพิ่มและขับเน้นตัวละครผู้หญิงให้เกิดพลวัตทางอารมณ์และอุดมการณ์ยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าตัวเอก ควีนอลิซาเบธ หรือ “กัปตันทีมวินเซอร์” (แสดงโดยโอลิเวียร์ โคลแมน) โปรแกรมหนังใหม่
จะเป็นตัวเดินเรื่องหลักมาตั้งแต่ซีซั่นแรก ในซีซั่นใหม่นี้มีตัวละครหญิงสำคัญเพิ่มมาอีกสองคน คือมากาเร็ต แธตเชอร์ (แสดงโดยกิลเลียน แอนเดอร์สัน) และเจ้าหญิงไดอาน่า (เอมม่า คอร์ริน) สามหญิง สามตำแหน่ง สามความเชื่อ นี่เป็นโครงเรื่องหลักที่วางพาดทั้ง 10 ตอนในซีรีส์นี้ ความสัมพันธ์อันวุ่นวายซับซ้อนระหว่างทั้งสามคน สามชีวิตที่ต่างมีฉากสำคัญแบบลืมไม่ลงของตัวเองในประวัติศาสตร์อังกฤษ (หรือประวัติศาสตร์โลกด้วยซ้ำ) ทำให้ซีซั่นใหม่นี้ดู “ร่วมสมัย” และยึดโยงกับความทรงจำของคนดูจำนวนไม่น้อยที่โตมาพร้อมกับการเห็นนางแธตเชอร์ และเจ้าหญิงไดอาน่า ในข่าวต่างประเทศในโทรทัศน์อยู่นานนับสิบปี
เริ่มที่แธตเชอร์ก่อน นายกหญิงเหล็กของพรรคคอนเซอร์เวทีฟ โด่งดังและอื้อฉาวด้วยนโยบายรัดเข็มขัดและแปรรูปรัฐวิสาหกิจ แธตเชอร์ครองอำนาจยาวนานตั้งแต่ปี 1979 ถึง 1990 และเป็นนายกที่มีคนเกลียดมากที่สุดคนหนึ่งในโลกเลยก็ว่าได้ คือเกลียดแบบสาปส่ง ด่าทอ เห็นเป็นแม่มด เป็นนางมารที่จ้องทำลายชีวิตคนยากจนและคนหาเช้ากินค่ำในอังกฤษ บทของ The Crown ทำสิ่งที่เคยทำมาแล้วกับตัวละครอื่นๆ ในซีรี่ส์ คือการ humanize หรือ “หาความเป็นมนุษย์” ให้กับบุคคลที่มักจะถูกมองในแบบขาว-ดำ ไม่ใช่นะครับ หนังไม่ได้ “อวย” แธตเชอร์ หรือพยายามแก้ตัวให้เธอ แต่ทำให้เห็นว่าแรงผลักดันของเธอมาจากไหน ชีวิตของเธอผ่านอะไรมาบ้าง เธอมีปมเรื่องอะไร และอะไรทำให้เธอต้องแกร่งขนาดนั้น แน่นอนว่าความโหดของแธตเชอร์ ยังไงก็เป็นความโหด โลกทัศน์ที่วางอยู่บนความเชื่อในการทำงานหนักโดยไม่สนใจระบบอันไม่เป็นธรรม เป็นสิ่งที่นักรัฐศาสตร์ลงความเห็นว่าช่างคับแคบและใจร้าย แต่ในขณะเดียวกัน หนังแสดงให้เห็นว่าเธอต้องต่อกรกับอะไรบ้าง ทั้งโลกการเมืองที่มีแต่ผู้ชายใส่สูทที่จ้องจับผิด หรือกับควีนอลิซาเบธและวงศ์วานของเธอ กับความหยิ่งยโส สายตาดูถูกเหยียดหยามของราชวงศ์ และการต้องพิสูจน์ตัวเองกับทุกคนตลอดเวลา
No comments:
Post a Comment